ประวัติเทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์

ประวัติเทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ จากเด็กปั้นที่เติบโตจากอะคาเดมี สู่การเป็นแข้งตัวหลักของ ลิเวอร์พูล และทีมชาติอังกฤษ

ชื่อเต็ม : เทรนต์ จอห์น อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ (Trent John Alexander-Arnold)

เกิด : 7 ตุลาคม 1998, เมือง ลิเวอร์พูล, ประเทศอังกฤษ

อายุ : 24 ปี

ส่วนสูง : 175 เซนติเมตร

สโมสรปัจจุบัน : ลิเวอร์พูล

ตำแหน่ง : แบ็กขวา, กองกลาง

สวมเสื้อหมายเลข : 66

เส้นทางลูกหนัง

อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ มีสายเลือดของ ลิเวอร์พูล มาแต่กำเนิดหลังจากลืมตาดูโลกในย่าน เวสต์ ดาร์บี้ และชีวิตของเขากับ ลิเวอร์พูล เมื่อช่วงอายุ 6 ขวบ เขาได้เข้าร่วมแคมป์สอนเยาวชนของ ลิเวอร์พูล และจากแคมป์ดังกล่าว เอียน บาร์ริแกน โค้ชอะคาเดมี่ของ ลิเวอร์พูล ได้เห็นแววเด่นของ เทรนต์ ถึงขั้นติดต่อไปยังผู้ปกครองของเขาแล้วเสนอให้ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ได้เข้าอะคาเดมี่ของสโมสร ซึ่งสุดท้าย เทรนต์ ก็ได้เข้าร่วมอะคาเดมี่ของ ลิเวอร์พูล ในที่สุด

ในสมัยเยาวชนนั้น เทรนต์ ได้ร่วมซ้อมกับอะคาเดมี่ของสโมสร แถมยังได้ลองเล่นในหลายๆ ตำแหน่ง ก่อนจะทำผลงานได้โดดเด่นจนถึงขั้นได้เป็นกัปตันทีมรุ่นอายุไม่เกิน 16 ปี กับรุ่นอายุไม่เกิน 18 ปี โดยที่ สตีเว่น เจอร์ราร์ด ตำนาน ลิเวอร์พูล เคยเขียนถึงเขาในหนังสืออัตชีวประวัติว่า อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ จะมีอนาคตที่สดใสอย่างแน่นอน

การได้เล่นกับทีมชุดใหญ่ครั้งแรก เกิดขึ้นตอนที่ทีมลงเล่นเกมอุ่นเครื่องในช่วง ปรี-ซีซั่นก่อนเริ่มฤดูกาล 2015/16 โดยเป็นเกมที่เจอกับ สวินดอน ทาวน์ แต่วันที่ได้ลงเล่นในแมตช์อย่างเป็นทางการจริงๆ คือเกม อีเอฟแอล คัพ รอบ 4 ที่ ลิเวอร์พูล ชนะ สเปอร์ส 2-1 เมื่อเดือนตุลาคม 2016 ฟอร์มโดยร่วมของเขาก็โดดเด่นจนได้รับเลือกให้ติดทีมยอดเยี่ยมประจำสัปดาห์รอบ 4 ของศึก อีเอฟแอล คัพ อีกด้วย

การก้าวขึ้นมาสู่ชุดใหญ่อย่างรวดเร็ว ทำให้เขาได้รับสัญญาระยะยาวกับทีมทันที และในเกม อีเอฟแอล คัพ นัดต่อมาที่ชนะ ลีดส์ ยูไนเต็ด 2-0 นั้น เขาได้รับเลือกให้เป็น แมน ออฟ เดอะ แมตช์

และในวันที่ 14 ธันวาคม 2016 ก็เป็นวันที่เจ้าตัวรอคอย อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ได้ลงเล่นเกมระดับ พรีเมียร์ลีก เป็นนัดแรก โดยถูกเปลี่ยนลงสนามในช่วงท้ายเกมในแมตช์ที่เอาชนะ มิดเดิ้ลสโบรช์ 3-0 ส่วนเกมแรกที่เขาได้ลงเล่นเป็นตัวจริงใน พรีเมียร์ลีก คือนัดที่ ลิเวอร์พูล บุกไปเสมอ แมนฯ ยูไนเต็ด 1-1 เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2017

ในช่วงก่อนถึงฤดูกาล 2017/18 นาธาเนียล ไคลน์ แบ็กขวาตัวหลักของ ลิเวอร์พูล ได้รับบาดเจ็บ ทำให้ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ และ โจ โกเมซ ได้สลับกันลงเป็นตัวจริงในช่วงต้นฤดูกาล ซึ่งสุดท้าย เทรนต์ ก็ไม่ปล่อยให้โอกาสทองหลุดลอยไป หลังจากทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม และทำประตูแรกให้กับสโมสรได้ด้วยในเกม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบเพลย์ออฟ นัดแรก ที่ ลิเวอร์พูล ชนะ ฮอฟเฟ่นไฮม์ 2-1

นับตั้งแต่นั้น อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ได้กลายเป็นดาวรุ่งที่น่าจับตามอง และในฤดูกาล 2018/19 เขาได้โชว์ฟอร์มสุดยอดด้วยการทำแอสซิสต์ใน พรีเมียร์ลีก 12 ครั้ง ใน ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 3 ครั้ง ก่อนจะจบซีซั่นดังกล่าวด้วยการมีส่วนร่วมพาทีม คว้าถ้วย ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก มาครองได้สำเร็จ ขณะที่เขาได้ทำลายสถิติการเป็นกองหลังที่ทำแอสซิสต์ใน พรีเมียร์ลีก ได้มากที่สุดต่อ 1 ฤดูกาลอีกด้วย

พอถึงฤดูกาล 2019/20 อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ยังสานต่อความยอดเยี่ยมด้วยการทำแอสซิสต์ในลีก 13 ครั้ง และกลายเป็นกำลังสำคัญช่วยให้ ลิเวอร์พูล ได้แชมป์พรีเมียร์ลีก เป็นสมัยแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสร และทำให้เขาทำลายสถิติเดิมของตัวเอง กับการเป็นกองหลังที่ทำแอสซิสต์ใน พรีเมียร์ลีก ต่อ 1 ฤดูกาลได้มากที่สุดอีกด้วย

ส่วนในฤดูกาลล่าสุด 2022/23 อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ต้องพบกับความท้าทายอีกครั้งหลังจากที่เขาโดนแฟนบอลตำหนิว่ามีฟอร์มที่ตกลงไปอย่างมาก และทำให้ ลิเวอร์พูล มีผลงานในช่วงต้นฤดูกาลที่น่าผิดหวังอยู่พอสมควร แต่ในช่วงท้ายฤดูกาล เทรนต์ ถูกขยับขึ้นไปเล่นในตำแหน่งใหม่ที่ไปยืนในแดนกลางมากขึ้น โดยเรียกตำแหน่งนั้นว่า อินเวิร์ดฟูลแบ็ค ทำให้ฟอร์มของเขาเริ่มกลับมาฟอร์มดีเข้าที่เข้าทางอีกครั้ง และสุดท้ายก็พาทีมขยับจากโซนกลางตาราง จบฤดูกาลในอันดับ 5 คว้าตั๋วไปลุยศึก ยูฟ่า ยูโรปา ลีก ได้สำเร็จ

ผลงานกับทีมชาติ

เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ติดทีมเยาวชนของอังกฤษหลายรุ่น และเคยผ่านรายการ ฟุตบอลโลก รุ่นอายุไม่เกิน 17 ปี เมื่อปี 2015 มาแล้ว และได้ติดทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่ครั้งแรกในเดือนพฤษภาคม เมื่อปี 2018 ในการไปทำศึก ฟุตบอลโลก 2018 และเขาได้ลงสนามกับทีมในเกมอุ่นเครื่องที่ชนะ คอสตาริก้า 2-0 เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2018 และยิงประตูแรกในนามทีมชาติได้ในเกมอุ่นเครื่องที่ชนะ สหรัฐฯ 3-0 เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2018

หลังจากนั้น เทรนต์ ก็เป็นนักเตะที่ติดทีมชาติอังกฤษมาเสมอมา ขณะที่ล่าสุด ฟุตบอลโลก 2022 รอบสุดท้ายที่ประเทศกาตาณ์ เจ้าตัวก็มีชื่อติดทีมเป็น 26 คนสุดท้ายแม้จะมีผลงานที่ไม่ค่อยมีในลีกก็ตาม และสุดท้าย ทีมชาติอังกฤษ แพ้ให้กับ ทีมชาติฝรั่งเศส 1-2 จบเส้นทางไว้ที่รอบ 8 ทีมสุดท้ายเท่านั้น

เกียรติประวัติ

ระดับสโมสร

ลิเวอร์พูล